วันอาทิตย์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2553

มู่กุ้ยอิง



มู่กุ้ยอิง ขุนศึกตระกูลหยาง (มู่กุ้ยอิง ยอดหญิงตระกูลหยาง) 1998
(The Heroine of the Yangs/穆桂英)
นักแสดง: เฉินซิ่วเหวิน-มู่กุ้ยอิง, เจียวเอินจุ้น-หยางจงเป่า
Note: ชื่อของตัวละคร หรือสถานที่ต่างๆ ออกเสียงตามในหนังที่พากย์ไว้ อาจจะมีความแตกต่างกันหากไปดูขุนศึกตระกูลหยางภาคอื่น เพราะภาษาจีนออกเสียงกันหลายสำเนียงมาก คำเดียวกันแต่ต่างที่ก็ออกเสียงต่างกัน (อธิบายยังกะรู้ภาษาจีน???)
นับตั้งแต่ได้ดูหนังจีนมา เรื่องนี้เป็นหนึ่งในไม่กี่เรื่องที่ดูกี่ร้อยรอบก็ไม่เบื่อ ไม่รู้ว่าเพราะอะไร (คิดว่าส่วนใหญ่เป็นเพราะเจียวเอินจุ้นน่ะเอง อิอิ)
เรื่องนี้มีตัวละครเด่นๆ ที่จะเป็นผู้กำหนดเนื้อเรื่องอยู่ 3 ตัวหลัก กล่าวคือ มู่กุ้ยอิง หยางจงเป่า เยลูฮ่าวหนัน (หลิวฮ่าวหนัน) และหลังๆ จะมีหยางผายฟงโผล่ขึ้นมาบ่อยๆ คือ แรกๆ ก็มี แต่จะไม่ค่อยเด่นมากเหมือนช่วงหลังๆ
พูดถึงตัวละคร คนแรก คือ มู่กุ้ยอิง (สาวน้อยจากชื่อเรื่อง) เป็นศิษย์ของผู้เฒ่าเฉินซี่ยี แห่งหัวซาน ได้เรียนวิชาคำนวณ รวมถึงวิทยายุทธ (คือมันเขียนงี้ป่าวหว่า) มีฝีมือพอตัว บวกกับความเป็นคนฉลาดและกล้าหาญ ถึงได้รับการยกย่องให้เป็นยอดหญิงแห่งตระกูลหยาง
คนต่อมาคือ หยางจงเป่า ลูกโทนของหยางเหยียนเจ้า (หรือว่า หยางลิ่วหลาง ลูกชายคนที่ 6 ของตระกูลหยาง) เป็นคนมีคุณธรรม กล้าหาญ ซื่อสัตย์ ภักดี ตามแบบฉบับขุนศึกตระกูลหยาง แต่บางทีก็ซื่อเกินไป จนเกือบทำให้ตัวเองไม่รอดหลายครั้งอยู่เหมือนกัน
คนต่อมาสำคัญมากคือ เยลูฮ่าวหนัน ซึ่งเป็นท่านชายของเป่ยฮั่น (หรือว่าฮั่นเหนือ) ซึ่งเป็นราชวงศ์เก่า (เด๋วจะเล่าความเป็นมาของตระกูลหยางกะราชวงศ์นี้ให้ฟัง) มีชื่อจริงว่า หลิวฮ่าวหนัน ได้รับให้ใช้แซ่เยลู (ซึ่งเป็นแซ่ที่ราชวงศ์เหลียวเท่านั้นจะได้ใช้ หากไม่ใช่คนในราชวงศ์แล้วหมดสิทธิ์) นอกจากนี้ ยังเป็นศิษย์ของผู้เฒ่าเฉินซี่ยีเช่นกัน จึงมีศักดิ์เป็นศิษย์พี่ของมู่กุ้ยอิง เก่งวิชาคำนวณมาก ถึงกับคิดค้นค่ายเทวาซึ่งเป็นค่ายกลชั้นเซียนออกมาได้ มีจิตใจโหดเหี้ยม ทั้งชีวิตคิดจะกอบกู้เป่ยฮั่นให้ได้ จนถึงกับหันไปร่วมมือกับชาวเหลียวมารุกรานซ่ง แลกกับสัญญาว่าต้าอ๋องแห่งเมืองเหลียวจะแบ่งดินแดนให้ปกครองหากยึดเมืองซ่งได้
เรื่องนี้เปิดเรื่องมาก็เป็นการทำสงครามกันระหว่างเมืองซ่งกับเมืองเหลียว โดยเมืองซ่งมีทัพตระกูลหยางอยู่แนวหน้า ทัพเมืองเหลียวตีเท่าไหร่ก็ไม่แตก แม่ทัพใหญ่สามเหล่าทัพของเมืองซ่ง คือ หยางเหยียนเจ้า ลูกชายคนที่ 6 ของหยางเย่ และสือไท้จิน (ซึ่งเป็นลูกชายคนเดียวที่รอดตายมาจากศึกหาดทรายทอง—อยากรู้ว่าเป็นอย่างไร โปรดติดตามใน ขุนศึกตระกูลหยางเด้อ) แต่ว่าในขณะนั้นทัพเมืองเหลียวได้หลิวฮ่าวหนันมาช่วยการศึก โดยอาศัยการคำนวณสร้างค่ายเทวา 6 มารขึ้น ทำให้หยางเหยียนเจ้าหลงเข้าไปอยู่ในค่ายเทวา ไม่สามารถฝ่าออกมาได้ จึงให้เมิ่งติ้งกั๊วะส่งข่าวกลับไปยังตระกูลหยาง
ขณะเดียวกัน ที่ตระกูลหยางก็กำลังมีงานเซ่นไหว้สุสานบรรพชน ฮ่องเต้ อ๋องแปด เสนาโค่ว (คนนี้เข้าใจว่าเป็นคนเดียวกับที่ตัดสินคดีศึกหาดทรายทอง ที่หยางลิ่วหลางมีชีวิตรอดกลับมาฟ้องพันเหยินเหม่ย) รวมทั้งราชครูเผิงซึ่งอิจฉาตระกูลหยางเป็นอย่างมากกกกก พยายามพูดจาดูหมิ่นตระกูลหยาง สุดท้ายก็พูดสู้ไม่ได้ พอเสร็จพิธี กิ่งไม้ก็โค่นลงมาเกือบโดนฮ่องเต้ ดีที่หยางผายฟง (สาวใช้ในบ้าน) เข้ามาช่วยไว้ทัน ฮ่องเต้จึงสนใจ ต่อมาพอติ้งกั๊วะมารายงานเรื่องค่ายเทวา หยางจงเป่า (ลูกชายคนเดียวของหยางลิ่วหลาง) จึงได้อาสาไปช่วยพ่อ
ระหว่างเดินทาง หยางจงเป่าจึงได้พบกับมู่กุ้ยอิง ซึ่งอาศัยอยู่เรียนวิชากับผู้เฒ่าเฉินซี่ยี ต่อมาผู้เฒ่าเฉินซี่ยีบอกว่าปีนี้มู่กุ้ยอิงจะได้พบกับเนื้อคู่จึงให้กุ้ยอิงลงจากเขามา ด้านหยางจงเป่าได้พบกับเจียวถิงกุ้ย ขุนพลอีกคนหนึ่งจึงพากันไปหาหยางอู่หลาง (ลูกชายคนที่ 5) ซึ่งบวชอยู่ที่เขาอู่ไท้ (ประวัติของหยางอู่หลางหรือว่าหยางเหยียนเต๋อคร่าวๆ คือ ครั้งศึกหาดทรายทอง หยางอู่หลางหนีมาที่เขาอู่ไท้ โดนทหารเหลียวล้อมกรอบ จึงออกบวชเป็นพระ ไม่ยุ่งทางโลก) เพื่อขอให้หยางอู่หลางช่วย หยางอู่หลางบอกว่า หากจะทำลายค่ายเทวา จะต้องใช้ไม้มังกร (ซึ่งเป็นของศักดิ์สิทธิ์ของค่ายมู่เคอ – บ้านของมู่กุ้ยอิง) หยางจงเป่าจึงเข้าไปขโมย แต่ไม่สำเร็จ ถิงกุ้ยกับผายฟงช่วยกันวางแผนการเผาค่าย แต่มู่กุ้ยอิงดับไฟไว้ทัน และได้ต่อสู้กับหยางจงเป่า สุดท้ายหยางจงเป่าบาดเจ็บ ถึงกับคุกเข่าขอร้องให้มู่กุ้ยอิงให้ยืมไม้มังกรเพื่อไปช่วยพ่อ มู่กุ้ยอิงจึงได้รับปากไว้ และไปคุยกับพ่อ แต่พ่อก็ไม่ยอมให้
ต่อมาถิงกุ้ยและผายฟงรวมหัวกันใช้วิธีสกปรกไปขโมยไม้มังกร แต่มู่กุ้ยอิงจับได้ เลยมัดถิงกุ้ยแบกมาจะเอาเรื่องกับหยางจงเป่า ฝ่ายหยางจงเป่าได้รับข่าวจากหยางลิ่วหลางที่ส่งออกมาจากค่ายเทวาจึงรีบไปช่วย มู่กุ้ยอิงพอรู้ก็รีบตามไปช่วยออกมาทันทั้งสองพ่อลูก
จากการสร้างค่ายเทวาในครั้งนี้ ทำให้หลิวฮ่าวหนันได้รับการแต่งตั้งให้เป็นซาฮาหลงแห่งเมืองเหลียว และได้รับแซ่เยลูให้มาใช้ พอมู่กุ้ยอิงมาทำลายค่ายได้ เยลูฮ่าวหนันก็คำนวณได้ว่ามู่กุ้ยอิงเป็นเนื้อคู่ของตน และมีดวงส่งเสริมตน จึงได้ไปสู่ขอจากมู่หงจี่ ประมุขค่ายมู่เคอ หรือก็คือพ่อของมู่กุ้ยอิงนั่นเอง เนื่องจากมู่หงจี่ก็เป็นข้าเก่าเป่ยฮั่นเช่นกัน พอได้รู้ว่าหลิวฮ่าวหนันเป็นท่านชายที่มีชีวิตรอดอยู่ จึงเต็มใจยกลูกสาวให้โดยกุ้ยอิงยังไม่รู้เรื่อง
จากนั้นพอกุ้ยอิงฟื้นขึ้น หยางลิ่วหลางก็รีบให้กุ้ยอิงกลับไปยังค่ายมู่เคอ โดยหยางจงเป่าไปส่ง ระหว่างทางได้พูดคุยกันทำให้รู้จักสนิทสนมกันมากขึ้น พอกลับถึงค่าย มู่กุ้ยอิงรู้ว่าจะต้องแต่งงานกับหลิวฮ่าวหนัน จึงได้ทะเลาะกับพ่อ และกลับมาหาหยางจงเป่าที่ค่ายเพื่อขอให้หยางจงเป่าแต่งงานกะตน (ผู้หญิงอะไรนี่ น่ากลัวชะมัด 555) ซึ่งหยางจงเป่าก็ตกลงและให้สัญญาว่าอีก 3 วัน จะไปสู่ขอที่ค่ายมู่เคอ แต่ปรากฏว่าเค้าก็ไม่มีโอกาสได้บอกกับพ่อ ต่อมามีราชโองการเรียกตัวกลับเปี้ยนจิง (เมืองหลวง) ด่วน (เนื่องจากฮ่องเต้โดยราชครูเผิงใส่ไฟตระกูลหยาง หาว่าหยางลิ่วหลางคิดคบกับเมืองเหลียว) ทำให้หยางจงเป่าต้องรีบกลับ ไม่มีโอกาสไปหากุ้ยอิง
ต่อมาพอกุ้ยอิงรู้ว่าคนที่จะต้องแต่งงานด้วยคือศิษย์พี่ของตนก็ไม่ยอม ทำให้ล้มป่วย จนผู้เฒ่าเฉินซี่ยีมา จึงได้ขอร้องให้อาจารย์เปลี่ยนดวงชะตาให้ ผู้เฒ่าก็เลยช่วยเปลี่ยนดวงชะตา โดยการผูกด้ายแดงไว้ เอาดวงของกุ้ยอิงผูกไว้กับหยางจงเป่า ทั้งนี้ ได้เตือนกุ้ยอิงว่าชีวิตคู่จะไม่ราบรื่น มีอุปสรรคมากมาย แต่กุ้ยอิงก็พร้อมที่จะยอมรับชะตากรรมที่จะตามมา จากนั้น กุ้ยอิงจึงได้เดินทางลงใต้เพื่อไปพบกับหยางจงเป่า
ฝ่ายหยางจงเป่าพอกลับถึงจวนเทียนปอ (บ้านตระกูลหยางที่ฮ่องเต้ให้มา) ก็พยายามพูดกับไท่จินเรื่องกุ้ยอิง แต่ก็โดนท่านหญิง (ท่านหญิงฉายเหวินอี้ – ฮูหยินของหยางลิ่วหลาง) คอยขัดขวางเพราะได้ยินข่าวมาเห็นว่ากุ้ยอิงไม่มีคุณสมบัติเป็นสะใภ้ตระกูลหยาง กระทั่งกุ้ยอิงเดินทางมาถึง แต่หยางจงเป่าไม่อยู่ ท่านหญิงก็ได้มาพูดกับกุ้ยอิงว่าให้ไปจากหยางจงเป่า เพราะไม่เหมาะสมกัน กุ้ยอิงก็รับปาก แต่หลังจากได้พบกับจงเป่าแล้วกุ้ยอิงก็บอกว่าจะอยู่ในเมืองหลวงต่อ โดยมีผายฟงเป็นคนส่งข่าวให้ตนกับจงเป่า แต่ปรากฏว่าเยลูฮ่าวหนันก็ได้ตามมาที่เมืองหลวงและได้สร้างสถานการณ์มากมายทำให้สองพ่อลูกหยางจงเป่าโดนจับข้อหาคบคิดกับเมืองเหลียว โดยมีราชครูเผิงเป็นผู้ช่วยมือหนึ่ง (คือ ตานี่ก็ทำไปได้นะ ไม่รู้แค้นกันมาตั้งแต่ชาติปางไหน) กุ้ยอิงเลยบุกเข้าไปช่วยหยางจงเป่าแหกคุก และคอยสืบข่าวจากข้างนอก
ต่อมาหยางลิ่วหลางโดนตัดสินประหารชีวิต หยางจงเป่าหนีมู่กุ้ยอิงมารับผิดพร้อมกับพ่อ ในวันประหารกุ้ยอิงจับครอบครัวราชครูเผิง และขู่ฮ่องเต้ ขอเวลาสามเดือนสืบหาความจริง ฮ่องเต้ให้เวลาหนึ่งเดือน โดยให้หยางจงเป่าเดินทางไปสืบความจริงด้วยกัน ทั้งสองจึงเดินทางไปเมืองเหลียว
ด้านเมืองเหลียวเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก ต้าอ๋องตายทำให้แปดอำมาตย์เอกคิดจะฮุบบัลลังก์ แต่พระเทวีโชคดีที่เยลูฮ่าวหนันกลับมาช่วยทัน และยังได้เยลูจงหยวน (ลูกของน้องสาวพระเทวี กับ...โปรดติดตามตอนต่อไป) เข้ามาช่วย ทำให้ขึ้นเป็นพระเทวีได้
เยลูฮ่าวหนันเองก็คำนวณไว้แล้วว่ากุ้ยอิงกับจงเป่าจะมา (อะไรจะเก่งปานนั้น) จึงจับตัวกุ้ยอิงได้ หยางจงเป่าถูกซัดตกเขา มีสาวสวยชื่อเหวียนหลอมาช่วยไว้ เหวียนหลอนี่ก็เป็นภรรยาของเยลูจงหยวนนั่นเอง
เยลูฮ่าวหนันเสนอข้อแลกเปลี่ยนให้กับกุ้ยอิงเอาคนไปช่วยตระกูลหยาง แต่กุ้ยอิงต้องอยู่แต่งงานกับตน กุ้ยอิงเลยรับปาก เยลูฮ่าวหนันเลยให้เยลูจงหยวนคุมตัวคนนั้น (คือ จำชื่อไม่ได้น่ะ ขอเรียกว่าเจ้าเมืองละกัน) คือเจ้าเมือง (ซึ่งเป็นคนเมืองซ่ง แต่ว่าเมืองตัวเองโดนล้อม เลยยอมจำนน) ระหว่างทาง เยลูจงหยวนกลับมาบ้านเลยได้พบกับหยางจงเป่า และได้มอบคนให้หยางจงเป่าไปและบอกว่าห้ามกลับมาอีก หยางจงเป่าพอไปถึงประตูเมืองเขตซ่งก็วานให้ทหารเป็นคนนำไปเมืองหลวงเพื่อช่วยพ่อตน ส่วนตนกลับเข้าเหลียวไปพากุ้ยอิงออกมา พอหยางจงเป่าได้พบกับกุ้ยอิง กุ้ยอิงก็จะมากับจงเป่า เยลูฮ่าวหนันก็เลยตกลง (ง่ายมาก หารู้ไม่ว่าเชือกแดงที่ข้อมือตัวเองโดนเปลี่ยนไปแร้น) ทั้งสองเลยกลับมาเปี้ยนจิง และช่วยหยางลิ่วหลางไว้ได้ โดยความช่วยเหลือของเสนาโค่ว
ต่อมาหยางจงเป่ากับมู่กุ้ยอิงก็ตกลงที่จะแต่งงานกัน แต่ท่านหญิงไม่เห็นด้วย พยายามขัดขวางโดยการจะหาหญิงอื่นมาแต่งให้ แต่สุดท้ายก็ได้ไท่จินวางแผนกะเสนาโค่วช่วยรับกุ้ยอิ่งเป็นลูกบุญธรรม ในวันงาน กุ้ยอิงโดนเยลูฮ่าวหนันมาขู่ว่าห้ามแต่งงานไม่งั้นจะเกิดเรื่อง แล้วก็เกิดเรื่องจริงๆ กุ้ยอิงโดนเยลูฮ่าวหนันสะกดจิตทำให้ทำร้ายราชครู จึงโดนกักตัวเอาไว้ พอดี๊ พอดีปรากฏตัวละครอีกตัว คือ เศรษฐีหลู คนๆ นี้ก็มาช่วยโดยบอกว่าให้ใช้ทวนของท่านลิ่งกงซึ่งเป็นของศักดิ์สิทธิ์ทำให้กุ้ยอิงสลบไปได้ ต่อมากุ้ยอิงทำร้ายหยางลิ่วหลาง แล้วหลบหนีไป เยลูฮ่าวหนันเลยมาช่วยไว้ ต่อมาจงเป่าตามหากุ้ยอิง โดนกุ้ยอิงแทงไปหนึ่งแผล เยลูฮ่าวหนันพยายามให้กุ้ยอิงแต่งงานด้วย ในวันแต่งงานกุ้ยอิงหลอกว่าก่อนไหว้ฟ้าดินต้องเอาด้ายแดงไปอังไฟ จนเยลูฮ่าวหนันต้องเอาด้ายแดงของจริงออกมา กุ้ยอิงจึงชิงมาได้ และชิงตราหยกเมืองเหลียวคืนไป นอกจากนี้ยังทำร้ายเยลูฮ่าวหนันจนบาดเจ็บ กุ้ยอิงกลับมาที่จวนเทียนปอเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตน จนที่สุดก็ได้แต่งงานกับหยางจงเป่า
ฝ่ายเยลูฮ่าวหนันต้องการจะหนีออกนอกเมือง เผอิญได้พบกับเศรษฐีหลู ก็จำได้ทันทีว่าเป็นทหารเก่าของพ่อตนที่เคยทรยศไม่ยอมไปรับตนตามที่สัญญาไว้ จึงบังคับให้เศรษฐีหลูพาตนออกนอกเมืองและบังคับให้เดินทางไปพร้อมกับตน ระหว่างทางพบกับหยางผายฟงที่จะมาฆ่าเศรษฐีหลู เนื่องจากมีความแค้นกันมาก่อน เพราะเศรษฐีหลูเป็นคนฆ่าล้างครอบครัวของตน แต่ปรากฏว่าสู้กับเยลูฮ่าวหนันจนตกไปในเหวทั้งคู่ ทั้งสองต้องอาศัยกันและกันเพื่อขึ้นมาจากเหว หยางผายฟงได้เห็นตัวตนที่แท้จริงของเยลูฮ่าวหนันจึงเห็นว่าเป็นคนดี พอขึ้นมาและกลับไปยังบ้านเศรษฐีหลู เศรษฐีหลูคิดฆ่าผายฟง ได้เยลูฮ่าวหนันมาช่วยไว้ จากนั้น ทั้งสองคนต้องแยกทางกัน แต่เยลูฮ่าวหนันก็ยังติดตามช่วยเหลือ ก็นั่นแหล่ะ รักกัน
ตอนนี้ไม่ค่อยมีอะไร ข้ามไปเรยละกันนะ แล้วไปต่อที่ไหนดีหง่า อืมมม ข้ามไปถึงนี่เลยนะ อันนี้ดีก่า เยลูฮ่าวหนันตอนแรกก็เหมือนจะเป็นโจรกลับใจได้ แต่ว่าสุดท้ายก็ไม่ได้ ผู้เฒ่าเฉินซี่ยีก็เตือนแล้ว แต่ก็ช่วยไม่ได้ กลับไปเลวอย่างเก่า ผู้เฒ่าเฉินซี่ยีเลยฝากจดหมายไว้กับเด็กที่หมู่บ้านเพื่อมอบให้กับกุ้ยอิง พอผู้เฒ่าตาย (คือถึงฆาตแล้วอ่ะนะ) ก็โดนเยลูฮ่าวหนันเอาศพไปทำค่ายมาร (ดูมัน เลวจริงๆ เลยเหอะ) แล้วสงครามก็ระเบิดขึ้นอีกครั้ง เหตุเกิดจากว่า ว้าย ตายแล้ว ดูสิ ข้ามไปซะเยอะเลย ไม่เป็นไร ยังทันๆ ในระหว่างที่เยลูฮ่าวหนันกำลังประสบกับปัญหาชีวิต เมืองเหลียวก็เคลื่อนไหวโดยการส่งเยลูจงหยวนไปเมืองซ่ง ซึ่งก็โดนแม่ทัพเหลียวหลายคนทัดทานไว้ ด้วยเหตุที่ว่า แต่น แตน แต๊นนนนน เยลูจงหยวนเป็นลูกของน้องสาวพระเทวี กับหยางซื่อหลาง (หรือว่าหยางเหยียนหลาง ลูกชายคนที่สี่บ้านตระกูลหยางที่มาแต่งงานใหม่เมืองเหลียวนี่เอง ประวัติของหยางซื่อหลางนี่ทำกันมาหลายเวอร์ชั่นมาก ไม่รู้ของจริงเป็นงัย 555 โปรดติดตามต่อไปในเรื่องขุนศึกตระกูลหยางภาคอื่นๆ) พอเยลูจงหยวนมาอยู่บ้านตระกูลหยางก็รู้สึกอบอุ่น แต่ด้วยหน้าที่บังคับ และโดนฮองเฮาบลัฟ โดยการอ้างถึงเหวียนหลอ (ภรรเมียที่กำลังท้องนั่นเอง) หยางจงหยวนเลยต้องจับไท้จินกลับเมืองเหลียว (โดยความยินยอมของไท้จินเอง เพื่อไม่ให้ทุกคนลำบากใจ) ทั้งนี้ทั้งนั้น กุ้ยอิง ป๊ะเม่ย ซื่อเหนียง แล้วก็ผายฟงติดตามไปช่วย
กุ้ยอิงได้มาพบว่าเยลูฮ่าวหนันใช้อาจารย์มาสร้างค่าย เลยเอาศพอาจารย์ไปเผา เยลูฮ่าวหนันเลยเอาหัวใจตัวเองมาใส่ไว้ที่ค่ายเทวา 12 มาร ต่อจากนั้น สงครามก็ได้ระเบิดขึ้นอีกครั้ง กองทัพตระกูลหยาง รวมถึงไท้จินที่ช่วยมาไว้ได้ (เพราะเยลูจงหยวนนั่นเอง โดยเอาไทเฮาเมืองเหลียวมาแลกกะไท้จิน) และบรรดาแม่ม่ายตระกูลหยางมาช่วยกันรบ ถึงกับต้องถอยร่นไปที่หมู่บ้าน (ที่ผู้เฒ่าเฉินซี่ยีเคยอยู่) เด็กคนนั้นเลยเอาจดหมายมาให้มู่กุ้ยอิง โดยจดหมายบอกว่าต้องใช้ไม้มังกร เพราะเป็นคู่ปรับของค่ายเทวา กุ้ยอิงเลยไปขอมาจากพ่อ อ่อๆๆๆ ก่อนหน้านั้น เยลูจงหยวนฆ่าตัวตายเพื่อกะว่าจะยุติสงคราม ซึ่งพระเทวีก็รับปากแล้ว เพียงแต่ว่าเยลูฮ่าวหนัน กะเซียวเทียนจั่วไม่ยอม เลยรบต่อ กลับมาๆ พอได้ไม้มาแล้วก็สามารถทำลายค่ายได้ แต่....ที่ไหนได้ เซียวเทียนจั่วกลับเป็นคู่ปรับของไม้มังกร เป็นเสืออะไรซักอย่าง ก็ทำลายไม้มังกรได้ ระหว่างที่ตระกูลหยาง (ทั้งตระกูล) กำลังติดอยู่ในค่ายและเยลูฮ่าวหนันกำลังจะฆ่าล้างโคตรตระกูลหยางนั่นเอง หยางเหวินก่วงก็เกิดขึ้นมา (ลูกมู่กุ้ยอิงน่ะ – ข้ามไปซะไม่รู้เรื่องเลย 555) ค่ายระเบิด ตู้มมมมมมมม เยลูฮ่าวหนันหายไปอย่างไร้ร่องรอย ที่แท้หยางเหวินก่วงก็เป็นคู่ปรับกับค่ายเทวานั่นเอง....
เวลาผ่านไป 14 ปี (จริงๆ) – แต่อันนี้คือไม่ได้ดูหลายรอบน่ะ มันเศร้า เลยจำไม่ค่อยได้ นั่นแหล่ะ หยางจงเป่ากลายเป็นขุนนางใหญ่โต หยางลิ่วหลางเฝ้าชายแดน มู่กุ้ยอิงกลายเป็นเสาหลักตระกูล มีเรื่องเกิดขึ้นมากมาย จนกระทั่งมีอยู่วันนึง...หยางจงเป่าโดนเรียกตัวไปสมทบกับพ่อเพื่อทำศึกกับซีเซี่ย จนกระทั่ง ฮือๆๆๆๆๆๆๆๆ โดยคนชั่วทำร้าย ตายไปเรยยยยย เพราะอีราชครูคนเดียว เซ็งจริงๆ ทำไมมันเลวยังงี้ ฮือๆๆๆๆๆๆ นั่นแหล่ะ คนก็ตายไปแล้ว หลิวฮ่าวหนันก็กลับมาอีก เสียความทรงจำ กลายเป็นอาหนิว มาเจอกะผายฟงอีกที ก็ได้แต่งงานกัน ส่วนตระกูลหยางโดนใส่ความโดนไล่ออกจากจวนเทียนปอ พากันมาอยู่ค่ายมู่เคอ ก็ได้มาเจอกับองค์ชายซีเซี่ยที่ถูกพ่อเตะโด่งออกมา เพราะมีนิสัยชอบทำสงคราม มักใหญ่ใฝ่สูง นั่นแหล่ะ สุดท้ายตานี่ก็ก่อเรื่อง เอาหลิวฮ่าวหนันไปสร้างค่าย แต่หลิวฮ่าวหนันกลายเป็นคนดี จึงช่วยตระกูลหยางเอาไว้ สุดท้ายแล้วอีตานี่ก็ฝึกวิชามาร ทำให้กุ้ยอิงต้องฝึกวิชามารด้วย ร่วมมือกับหลิวฮ่าวหนันเอาชนะศึกได้ กลับมาเมืองหลวงก็ขอลาออก กลับบ้านนอกกันทั้งตระกูล จบ

วันเสาร์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2553

หยางกุ้ยเฟย

หยางกุ้ยเฟย (อังกฤษ: Yang Guifei ; จีน: 楊貴妃) พระนามเดิมคือ หยางอี้หวน (อังกฤษ: Yang Yuhuan ; จีน: 楊玉環) เกิด 1 มิถุนายน ค.ศ. 719 เป็นหนึ่งในสี่หญิงงามแห่งแผ่นดินจีนกล่าวกันว่า หยางกุ้ยเฟยทรงเป็นสตรีที่มีความงามเป็นเลิศ ใช้ชนม์ชีพในรัชสมัยราชวงศ์ถัง ได้รับฉายานามว่า "มวลผกาละอายนาง" (จีน: 羞花; พินอิน: xiū huā) ซึ่งหมายถึง "ความงามที่ทำให้แม้แต่มวลหมู่ดอกไม้ยังต้องละอาย" (a face that would make all flowers feel shameful)

นางมีชื่อเดิมว่า หยางอวี้หวน (อังกฤษ: Yang Yuhuan จีน: 楊玉環) เป็นชาวเมืองหย่งเล่อ "อวี้หวน" แปลว่า "ตุ้มหูหยก" นางเป็นธิดาของ "หยางหยวนเหยียน"


ตอนที่นางจะเกิดนั้น มารดาของนางได้ฝันเห็นสายรุ้งพาดโค้งจากฟากฟ้าลงมาที่เตียงนอน พร้อมส่งแสงประกายระยิบระยับงดงาม แต่เพียงชั่วครู่เดียวก็หายวับไป กลายเป็นดาวตกพุ่งตกลงมาสู่พื้น มีเสียงดังสนั่นหวั่นไหว

อวี้หวน เมื่อเจริญวัยขึ้น มีรูปโฉมที่งดงามและเปล่งปลั่งชวนมองยิ่งนัก อีกทั้งยังมีผิวกายที่มีกลิ่นหอมจรุงใจ เป็นที่เลื่องลือไปทั่วทั้งหมู่บ้าน และตำบลที่นางอาศัยอยู่ นางมีความสามารถทางดนตรี ขับร้องและฟ้อนรำ

ในปีที่ ๒๕ ของรัชสมัยจักรพรรดิถังเสวียนจง (唐玄宗) พระองค์ทรงดำริที่จะหาพระชายาให้พระโอรสโซ่วอ๋อง (寿王) โอรสองค์ที่ ๑๘ อาของอวี้หวนทราบข่าวจึงนำนางเข้าไปถวาย และก็ไม่ผิดหวัง

โซ่วอ๋อง เมื่อแรกได้เห็นนางนั้น ก็ถึงกับตะลึงพรึงเพริดในความงามของนาง ดังนั้นนางจึงได้รับการแต่งตั้งเป็นพระชายาของพระโอรสโซ่วอ๋อง ตั้งแต่นางมีอายุได้เพียง ๑๖ ปี ซึ่งกำลังอยู่ในวัยสาวแรกรุ่น
ต่อมา อู่กุ้ยเฟย พระสนมที่จักรพรรดิถังเสวียนจง ทรงโปรดปรานได้เสียชีวิตลงอย่างกะทันหัน พระองค์ยังทรงหาพระชายาใหม่ที่ถูกพระทัยไม่ได้ ขันทีเกาลี่ซื่อผู้ใกล้ชิดจึงทูลเสนอว่า หญิงงามที่สุดในแผ่นดินไม่มีใครงามเกินหยางอวี้หวน พระชายาของโซ่วอ๋อง

แล้วเกาลี่ซื่อได้ออกอุบายให้พระองค์ได้ทอดพระเนตรนาง เพียงแรกประสบพบเท่านั้น พระองค์ก็ถึงกับลุ่มหลงในความงามของนางโดยทันที แต่เนื่องจากติดขัดที่นางเป็นชายาของโซ่วอ๋อง

เกาลี่ซื่อจึงบอกอุบายอันแยบยล ให้พระองค์แต่งตั้งนางเป็นนักพรตหญิงฉายาไท่เจิน แล้วหาพระชายาใหม่ให้โซ่วอ๋องแทน

สมัยเทียนเป่าปีที่สี่ (พ.ศ.๑๒๘๘) อวี้หวนได้เข้าวัง และเป็นที่โปรดปรานของถังเสวียนจง จึงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นสนมเอกหรือกุ้ยเฟย (ขณะนั้นจักรพรรดิถังเสวียนจงมีพระชนมายุ ๖๑ พรรษา ส่วนหยางกุ้ยเฟยมีอายุเพียง ๒๗ ปีเท่านั้น)

พ่อ พี่น้องแลเครือญาติของนางทั้งหมดได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นขุนนาง และฮูหยินทั้งหมด จนเป็นที่โจษจันกันไปทั่วว่า เพราะมีลูกสาวดี จึงได้ดิบได้ดีกันถ้วนหน้า

ทุกครั้งที่นางจะนั่งรถม้า ต่างก็มีบรรดาขุนนางใหญ่บังคับรถม้าให้ด้วยตัวเอง นางมีช่างถักทอและปักผ้าถึงเจ็ดร้อยคน มีผู้คนมากมายแย่งกันมอบของกำนัลต่างๆ ให้ เนื่องจากขุนนางจางจิ่วจางและหวังอี้มอบของกำนัลให้นางจึงได้เลื่อนตำแหน่ง ดังนั้นบรรดาขุนนางทั้งหลายต่างก็หวังที่จะได้รับผลตอบแทนเช่นเดียวกัน หยางกุ้ยเฟยโปรดปรานลิ้นจี่จากแดนหลิ่งหนาน ก็มีผู้คนคิดหาวิธีที่จะนำมาส่งมาถึงเมืองฉางอานให้เร็วที่สุด

ความที่จักรพรรดิ์ถังเสวียนจง ทรงลุ่มหลงอยู่แต่นาง และเล่นดนตรี จนละเลยการปกครองว่าราชการเมือง ทำให้หยางกั๋วจง (杨国忠-YANG KGUOA ZHONG) พี่ชาย (ลูกพี่ลูกน้อง) ของนางได้รวบอำนาจการปกครองไว้ถึง ๔๐ ตำแหน่ง จนมีตำแหน่งเทียบเท่าสมุหนายก กินสินบนอย่างเปิดเผย ใช้ระบบอุปถัมภ์ในการคัดเลือกคนเข้ารับราชการหรือเลื่อนตำแหน่ง ทำให้เกิดความเดือดร้อนไปทั่ว

เป็นเหตุให้ อานลู่ซาน (安禄山-AN LU SHAN) ได้หยิบยกข้ออ้างนี้มาก่อการกบฏ โดยนำทหารจากชายแดนและทหารทิเบตเข้ามายึดนครฉางอานได้โดยง่ายดายในปี พ.ศ. ๑๒๙๙ ทำให้องค์จักรพรรดิถังเสวียนจง ต้องทรงลี้ภัยชั่วคราวไปในทางตอนใต้ของมณฑลซื่อชวน (เสฉวน)

อานลู่ซานยกกองทัพติดตามไป ไม่เพียงเพราะต้องการแผ่นดินราชวงศ์ถังเท่านั้น แต่ยังต้องการครอบครองสาวงามหยางกุ้ยเฟยอีกด้วย

ในระหว่างทางที่ทรงลี้ภัยไปนั่นเอง หยางกั๋วจงได้ถูกเหล่าทหารรุมจับสังหารเสีย จากนั้นเหล่าทหารได้ทูลพระองค์ว่า "การที่เกิดกบฏเข้ายึดบ้านครองเมือง ทำให้ราชวงศ์ต้องเสื่อมถอยก็เพราะหยางกั๋วจงเป็นต้นเหตุ เมื่อหยางกั๋วจงตายไปแล้ว แต่โดยรากยังคงอยู่นั่นคือ หยางกุ้ยเฟย ฉะนั้นนางก็ไม่สมควรอยู่ให้เป็นที่ครหาด้วย"

จักรพรรดิ์ถังเสวียนจงทรงโทมนัสในพระทัยอย่างสุดพรรณนา ในที่สุดจึงทรงรับสั่งให้ประหารชีวิตหยางกุ้ยเฟย โดยให้กาลี่ซื่อผู้นำนางมาถวายพระองค์ นำผ้าแพรขาวไปมอบให้นางเพื่อให้แขวนคอตายใต้ต้นหลีในสวน

หยางกุ้ยเฟยได้จบชีวิตลงอย่างน่าสงสารในปี พ.ศ.๑๒๙๙ ระหว่างทางลี้ภัยไปมณฑลซื่อชวน ขณะนั้นนางมีอายุเพียง ๓๘ ปีเท่านั้น
ภายหลัง กวีเอกไป๋จวีอี้ได้แต่งลำนำ “ฉางเฮิ่นเกอ” (长恨歌) บรรยายเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ตอนนี้ขึ้น

"...ยามเมื่อนางหันมาแย้มสรวล ก็นำมาซึ่งเสน่ห์ร้อยประการ

เป็นเหตุให้นางสนมทั้ง ๖ ตำหนัก ต้องด้อยรัศมีลง

ยามเมื่อนางอาบน้ำในสระ (หัวชิงฉือ)

เหล่านางสวรรค์กำนัลใน (๓,๐๐๐ นาง)

ต่างก็พรึงเพริดด้วยโฉมอันงามวิไลนัก..."

เล่ากันว่า ทั้ง ๒ ทรงโปรดปรานในการมาสรงน้ำที่หัวชิงฉือเป็นยิ่งนัก ตลอดระยะเวลาที่ทรงอยู่ร่วมกัน ได้มาสรงน้ำที่นี่ถึง ๔๙ ครั้ง จนมีสระหนึ่งของที่นี่ เรียกว่า สระหยางเฟย เป็นที่สรงน้ำของนางโดยเฉพาะ

นอกจากนี้ ยังมีคำร่ำลือกันว่า หยางกุ้ยเฟย เธอมีกลิ่นกายที่หอมกรุ่น เนื่องจากนางได้นำเอากลีบดอกไม้ที่มีกลิ่นหอมนานาพรรณ มาบดให้ละเอียดเป็นแป้งแล้วใช้ชโลมกาย ในยามที่เธอมีเหงื่อไหลในช่วงฤดูร้อนนั้น ร่ำลือกันว่ายิ่งส่งกลิ่นหอมอบอวลให้เป็นที่ใหลหลงยิ่งนัก ซึ่งทำให้หญิงสาวจีนในยุคนั้นเอาตามอย่างนาง โดยนำกลีบดอกไม้ที่มีกลิ่นหอมมาทำเป็นแป้งใช้ทาชโลมกาย จนถือเป็นต้นกำเนิดของแป้งฝุ่นจีนมาตราบจนทุกวันนี้

หยางกุ้ยเฟยได้รับฉายานามว่า "มวลผกาละอายนาง"(จีน: 羞花 พินอิน: xiū huā) ซึ่งหมายถึง "ความงามที่ทำให้แม้แต่มวลหมู่ดอกไม้ยังต้องละอาย" (a face that would make all flowers feel shameful)


มีเรื่องเล่าว่า วันหนึ่งขณะอยู่ในวัง นางไปเดินเล่นที่สวนดอกไม้ มองเห็นดอกโบตั๋นและกุหลาบจีนที่กำลังบานสะพรั่ง แล้วคิดถึงชีวิตตนเองที่ถูกกักอยู่ในวังหลวง ผ่านวัยสาวไปอย่างไร้ความหมาย นางร้องไห้พลางลูบดอกไม้นั้น เมื่อนางแตะถูกกลีบดอกไม้กลีบนั้นก็หุบลง ใครจะคิดว่าต้นไม้ที่นางลูบนั้นคือต้นนางอาย
นางกำนัลคนหนึ่งพบเห็นเหตุการณ์นี้เข้า จึงนำไปเล่าลือว่าหากหยางอี้หวนเทียบความงามกับดอกไม้แล้ว ดอกไม้ยังต้องละอายก้มลงให้แก่นาง........



สุสาน หยางกุ้ยเฟย (อังกฤษ: Yang Guifei จีน: 楊貴妃)

เสียชีวิต ๑๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๑๒๙๙ (สิริอายุรวม ๓๘ ปี)

少年杨家将 - ขุนศึกตระกูลหยาง

<<หยางหลิงกง - หยางเย่>>
 
หยางฟู่เหยิรน - เสอไซ่ฮวา>>

หยางเย่ เดิมเป็นขุนพลของแคว้นเป่ยฮั่น แต่ต่อมายอมสวามิภักดิ์ต่อซ่งไทจู่จ้าวควงอิ้นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์ซ่งเหนือ จึงได้รับการแต่งเป็นแม่ทัพ แต่เพราะสาเหตุที่เป็นขุนศึกสวามิภักดิ์ทำให้ลึกๆฮ่องเต้ไม่ค่อยจะให้ความไว้วางใจเท่าไหร่นัก

เสอไซ่ฮวา เป็นภรรยาของหยางเย่ มีลูกชาย 7 คน ลูกสาว 1 คน ในภาคนี้จะเน้นบทบาทการเป็นแม่ และภรรยา ที่ต้องดูแลสามีและลูกๆ

<<หยางซื่อหลาง - หยางเหยียนฮุย>>

<<หยางซื่อเหนียง - หลอซื่อ หนวี่>>

ลูกชายคนที่ 4 หยางซื่อหลาง พลัดพลากจากครอบครัวไปตั้งแต่ยังเด็กเพราะสงคราม ทำให้มีความแค้นกับตระกูลหยาง เปิดตัวในเรื่องด้วยชื่อ ฉิวมู่อี้ (ฉิว แปลว่าแค้น อักษร มู่ กับ อี้ เมื่อรวมกันจะเท่ากับ หยาง; ความหมายคือ แค้นหยาง) ต้องการที่จะมาแก้แค้นตระกูลหยาง หลอซื่อหนวี่ เป็นหมอรักษาโรค ในเรื่องจะมีบทรัก 3 เส้า กับ พานเป้า ที่เป็นลูกชายของพานเหยินเหม่ย คู่ปรับตลอดเรื่องของตระกูลหยาง เรื่องราวรัก 3 เส้าที่เกิดขึ้นระหว่าง หยางซื่อหลาง หลอซื่อหนวี่และ พานเป้า เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้นำไปสู่จุดสำคัญของเรื่อง

หยางอู่หลาง - หยางเหยียนเต๋อ>>

ลูกชายคนที่ 5 ในเรื่องเป็นคนที่มีฝืมือสูงที่สุดในบันดาลูกชายทั้ง 7 คน ( อาจจะเท่ากับ หยางซื่อหลาง) ในเรื่องนี้จะต้องห้ำหั่นกับ เยลวี่เสีย แม่ทัพแคว้นเหลียว ทั้งในสนามรบและสนามรัก กวนหง ช่างทำอาวุธ เป็นผู้หญิงที่มีนิสัยโผงผาง และอารมณ์ร้อน เป็นคนกลางที่อยู่ระหว่างหยางอู่หลางและเยลวี่เสีย ในเรื่องนี้การตัดสินใจครั้งสำคัญส่งผลต่อปลายทางของหยางอู่หลาง

หยางลิ่วหลาง - หยางเหยียนเจา>>

<<หยางลิ่วเหนียง - ท่านหญิงไฉ>>

ลูกชายคนที่ 6 เป็นคนที่มีนิสัยรักสนุกขี้เล่น ชอบประดิษฐ์เครื่องมือแปลกๆ ฉลาดและมีไหวพริบดี ในตอนต้นเรื่องยังมีความเห็นที่ไม่ค่อยลงรอยกับพ่อ แต่เมื่อเรื่องราวดำเนินไปเรื่อยๆ เป็นคนที่มีพัฒนาการทางความคิดก้าวหน้าไปมากที่สุด

ท่านหญิงไฉ เป็นผู้หญิงที่ค่อนข้างอารมณ์ร้อน และเอาแต่ใจนิดหน่อย มีบทบาทสำคัญในโครงเรื่องย่อยๆที่เกี่ยวกับความลับของฮ่องเต้ และ อ๋องแปด

นอกจากนี้ยังมีบทรัก 3 เส้ากับ หยางลิ่วหลางและพานอิ่ง

<<หยางชีหลาง - หยางเหยียนฉือ>>


<<หยางชีเหนียง - ตู้จินเอ๋อ>>
ลูกชายคนเล็ก เป็นคนขี้เล่น รักสนุก มองโลกในแง่ดี ขี้อ้อนตามประสาลูกคนเล็ก แต่เคยทำผิดพลาดจนเป็นสาเหตุให้หญิงคนรักคนแรกต้องตาย รวมถึงเป็นสาเหตุให้พานเป้าต้องตาย ตู้จินเอ๋อ เป็นลูกสาวหัวหน้าค่ายโจร ที่ต้องแต่งงานก่อนอายุครบ 18 ปีเพราะคำทำนายของหมอดู นิสัยร่าเริง ออกจะเปิ่นๆ เรื่องราวความรักระหว่างทั้ง 2 คนนี้เป็นตอนที่ดูแล้วสนุกและตลกที่สุดในเรื่องนี้

พงศาวดารเรื่องเปาบุ้นจิ้น โดย สนิท กัลยาณมิตรราชวงศ์ซ้องรัชกาลที่ 1 พระเจ้าซ้องไทโจ๊วฮ่องเต้ ปฐมกษัตริย์ราชวงศ์ซ้อง เสด็จยกทัพไปปราบปรามเล่ากึนเมืองปักหั้น เอียเลงก๋ง (หยางเยี่ย) เจ้าเมืองซัวอ๋าวยกกองทัพมาช่วยข้างเล่ากึน สงครามจึงสงบกันไปคราวหนึ่ง พอดีพระเจ้าซ้องไทโจ๊วเสด็จสวรรคต เตียคังหงีพระอนุชาได้เสวยราชสมบัติ ทรงพระนามว่าพระเจ้าซ้องไทจงฮ่องเต้

รัชกาลที่ 2 พระเจ้าซ้องไทจงฮ่องเต้ เสด็จยกกองทัพหลวงไปตีเมืองปักหั้นอีก คราวนี้เกลี้ยกล่อม เอียเลงก๋ง (หยางเยี่ย) กับบุตรชายเจ็ดคนไว้ได้ หลังจากนั้นได้ยกทัพไปปราบเมืองไซเหลียวต่อไป เมื่อพระเจ้าซ้องไทจงฮ่องเต้ถูกล้อมอยู่ในระหว่างศึก เอียเลงก๋งกับบุตรก็ช่วยกันแก้ไขเอาพระเจ้าซ้องไทจงฮ่องเต้ออกมาได้ แต่ต้องสู้กับข้าศึกจน เอียเอียนเผง (หยางอี่หลาง) เอียเอียนเตง (หยางเอ้อหลาง) เอียเอียนฮุย (หยางซันหลาง) ตายในที่รบ และ เอียเอียนเต๊ก

(หยางอู่หลาง) หนีไปบวชจึงรอดจากเงื่อมมือข้าศึก ส่วน เอียเอียนหลัง (หยางซื่อหลาง) นั้นถูกพวกฮวนจับเอาไป เหลือแต่ตัวเอียเลงก๋ง (หยางเยี่ย) กับ เอียเอียนซือ (หยางชีหลาง) เอียเอียนเจียว (หยางลิ่วหลาง) บุตรสองคนรอดกลับมาได้ พระเจ้าซ้องไทจงฮ่องเต้จึงโปรดให้สร้างบ้านเทียนโปเหลากับบ้านบูเหนงฮู้พระราชทานเอียเลงก๋งเป็นเกียรติยศ ภายหลังเอียเลงก๋งกับเอียเอียนซือ (หยางชีหลาง) ถูกพัวยินหมุยขุนนางกังฉินกำจัดเสีย คงเหลือแต่เอียเอียนเจียว (หยางลิ่วหลาง) คนเดียว พระเจ้าซ้องไทจงฮ่องเต้ อยู่ในราชสมบัติได้ยี่สิบสองปีก็เสด็จสวรรคต

รัชกาลที่ 3 พระเจ้าซ้องจินจงฮ่องเต้ ทรงโปรดให้เอียเอียนเจียว (หยางลิ่วหลาง) เป็นแม่ทัพไปปราบปรามเมืองไซเหลียวและเมืองไซฮวนได้มาเป็นเมืองขึ้น เมื่อเอียเอียนเจียวตาย เมืองไซฮวนกลับกำเริบขึ้นอีก ครั้งนี้ถูกเอียจงเปาพร้อมกับพวกหญิงม่ายภายนายทหารพวกแซ่เอียสิบสองคนยกทัพไปปราบปราม เมื่อไซฮวนหมดกำลังลงก็ต้องยอมขึ้นแก่แผ่นดินซ้อง ตั้งแต่นั้นบ้านเมืองก็ราบคาบสิ้นเสี้ยนศัตรูแผ่นดิน บรรดาขุนนางผู้ใหญ่ในเมืองหลวงก็ล้วนเป็นคนตงฉิน ฝ่ายพลเรือนมีโขวจุ้นเป็นใหญ่ ฝ่ายทหาร เอียจงเปา บุตรเอียเอียนเจียวได้บังคับบัญชาการงานทั้งปวงโดยสิทธิ์ขาด ทั้งยังมี เซงอิวอ๋อง (อ๋องแปด) พระราชบุตรของพระเจ้าซ้องไทโจ๊วฮ่องเต้ เนื่องจากไม่ยอมรับราชสมบัติ พระเจ้าซ้องไทจงฮ่องเต้จึงพระราชทานกระบองทองอาญาสิทธิ์ไว้สำหรับปราบปรามผู้ทุจริต ถึงแม้พระเจ้าแผ่นดินเองถ้าทำผิดก็ให้ลงอาญาตีได้ โปยอ๋องทรงทำการสิ่งใดล้วนแต่ยุติธรรมมิได้เห็นแก่หน้าบุคคล ราชการในเมืองหลวงทั่วทั้งพระราชอาณาเขตจึงเป็นที่เรียบร้อย
 
credit  ขอบคุณ printthaha สำหรับข้อมูลครับ

วันเสาร์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2553

วันนี้จะทำสเต๊ก ด้วยวิธีที่ได้จากบล๊อก

วิธีการทำ สเต็ก (Steak)




สเต็ก(Steak) เป็นอาหารชนิดหนึ่ง ที่คนไทยและต่างประเทศรู้จักกันดี วันนี้ workdeena จึงนำเอา วิธีการทำสเต็กนุ่มๆ มาฝากเพื่อนๆ สูตรในการทำสเต็ก(Steak) สูตรนี้ workdeena ได้มาจากร้านขายสเต็กข้างทางริมถนน เขาขายจานละ 59 บาท เสริฟพร้อมกับขนมปังปิ้ง 2 แผ่น ดูราคาแล้วไม่แพงเลย มีคนมาทานเยอะมาก แทบไม่มีโต๊ะว่าง workdeena จึงคิดว่าอาชีพนี้ ก็น่าจะเป็นอาชีพอิสระที่ดีได้ จึงนำมาฝากเพื่อนๆ เรามาดูกันว่าเราจะหมักเนื้อสเต็กกันอย่างไร


สเต็ก( Steak) มีทั้ง หมู, เนื้อ, ปลา, ไก่ สูตรนี้ก็เป็นสูตรที่สามารถ หมักได้กับเนื้อทุกอย่างเลย
ส่วนผสม
  1. เนื้อหมู 250 กรัม
  2. เกลือ 1/2 ช้อนชา
  3. พริกไทยเม็ดบุให้แตก 10 เม็ด
  4. ซอสปรุงรส 1 ช้อนชา
  5. น้ำมัน 1 ช้อนกินข้าว
  6. โซดา 1 ช้อนกินข้าว
  7. หอมหัวใหญ่ 1 ชิ้นหั่นบางๆ

วิธีทำ
  • ให้นำเนื้อหมู มาขยำเบาๆ กับ โซดา แล้วหมักไว้ 5 นาที
  • หลังจากนั้นให้ใส่เครื่องปรุงทุกอย่าง ลงไป คลุกเคล้าให้เข้ากัน
  • แล้วนำเนื้อหมูที่หมักแล้ว เข้าตู้เย็น ประมาณ 1/2 ชั่วโมง
  • เมื่อครบกำหนดแล้วให้ นำออกมาย่าง หรือทอดก็ได้แล้วแต่ชอบ
  • เวลาเสริฟ ให้ใส่ผักต้ม เช่น มันฝรั่งต้ม หรือแครอทต้ม หรือข้าวโพดหวานต้มก็ได้ และขนมปังปิ้งสองแผ่น

- เพื่อนๆ ลองทำทานกันดูนะ ถ้าได้ผลอย่างไรก็บอกกันบ้างแล้วกัน workdeena ก็ลองใช้สูตรนี้ลองทำดูแล้ว ก็ใช้ได้นะ เวลาย่าง อย่าใหมันสุขจนแห้งมากเกินไป มันจะไม่อร่อย ทานกับซอสมะเขือเทศ หรือซอสปรุงรส, เกลือ, พริกไทย อร่อยมาก แต่อย่าลืมอาหารแบบไทยๆ นะ อร่อยไม่แพ้ชาติอื่นเหมือนกัน

เครดิตจาก บล๊อก  http://workdeena.blogspot.com/2009/06/steak.html
ได้ผลยังไง เดี๋ยวจะมาบอกคร้าบ

วันจันทร์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2553

Butterfly

"ทำไมถึงต้องเรียก ว่า ผีเสื้อกันด้วย"
ทั้งที่ เป็นแมลง ถ้างั้นทำไมไม่เรียกว่า ผีแมลงวันบ้างหละค้าบ 5555+


มีคนเคยสันนิษฐานคำว่าพระเสื้อเมืองทรงเมือง ว่า "เสื้อ" คำนี้คงจะเป็น "เชื้อ" คือเชื้อสาย 
พระเสื้อเมืองก็คือพระเชื้อเมือง โดยหมายถึงว่าเป็นผีเชื้อสาย
หรือเทวดาที่คุ้มครองรักษาเมืองตามลัทธิของไทยโบราณที่นับถือผีบรรพบุรษปู่ย่าตายาย

สำเนียงไทยทางเหนือบางเหล่าพูดเพี้ยนแปร่งออกเสียงเชื้อเป็นเซื่อหรือเสื้อ  
พระเชื้อเมืองจึงกลายเป็นเพระเสื้อเมือง เมื่อเขียนแล้ว



ผู้เขียนได้พบท่านเจ้าคุณอนุมานราชธนท่านบอกว่าชอบกล
ทำให้ท่านนึกถึงแมลงผีเสื้ออีกอย่างหนึ่งไทยทางเหนือเขาก็ถือกันว่าเป็นผี
เพราะถ้าบินมามากๆแล้วทำให้เกิดความเจ็บไข้ตายกันได้

จากปากคำของท่านเสฐียรโกเศศอันเป็นที่เคารพนับถึอ ประกอบกับการได้อ่านพบอะไรมาบางอย่าง
จึงทำให้สันนิษฐานว่าผีเสื้อนี้คงจะเป็นผีเชื้ออีกเหมือนกัน


ที่ผู้เขียนได้อ่านพบก็คือในพวกพม่าไทยใหญ่เขาถือกันว่า
วิญญาณของคนเหมือนผีเสื้อโบยบินท่องเที่ยวไป ผีเสื้อจึงน่าจะตรงกับผีเชื้อ
คือผีเชื้อสายปู่ย่าตายาย ตามที่กล่าวมานี้

จึงสันนิษฐานว่าตัวแมลงที่เราเรียกกันว่าผีเสื้อนี้คงจะมีมูลมาจากไทยเดิมถือกันว่า
เป็นวิญญาณของผีเชื้อสาย จึงได้เรียกกันว่าผีเชื้อ
แต่หากสำเนียงต่างกัน ผีเชื้อจึงกลายเป็นผีเซื่อ
(ถ้าให้ไทยทางเหนือและอีสานเรียกผีเสื้อเราจะฟังออกเสียงเป็นเซื่อชัดๆ)
ซึ่งต่อมาก็กลายเป็นผีเสื้อทำนองเดียวกับพระเชื้อเมืองเป็นพระเสื้อเมืองนั่นเอง