วันอังคารที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2560

รำวงมาตรฐาน

 รำวงมาตรฐาน หมายถึง ศิลปะแห่งการฟ้อนรำให้เข้ากับจังหวะหน้าทับ ใช้ท่ารำที่เป็นแบบฉบับมาตรฐานโดยรำเป็นวงกลม หันหน้าทวนเข็มนาฬิกา
          การรำวงมาตรฐานเป็นการรำที่ประดิษฐ์ขึ้นใหม่โดยการดูแลของกรมศิลปากรร่วมกับ กรมประชาสัมพันธ์ช่วยกันจัดทำขึ้น เพื่อให้เป็นแบบแผนในการใช้ท่ารำให้งดงามถูกต้องตามหลักนาฏศิลป์ไทย


ความเป็นมาของรำวงมาตรฐาน 

        รำวง มาตรฐาน มีกำเนิดมาจากการรำโทน แต่เดิมการรำโทนเป็นการละเล่นพื้นเมืองของชาวไทยทั่วไป ใช้เล่นกันในฤดูเทศกาลเฉพาะท้องถิ่นบางจังหวัด ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ประชาชนในพระนครและธนบุรีนิยมรำโทนกันทั่วไป เพราะรำง่าย และรำได้ทุกเพศทุกวัย จึงใช้เป็นเครื่องปลอบใจได้เป็นอย่างดี 


        รำ โทน หรือ รำวงพื้นบ้านได้รับความนิยม จึงทำให้แพร่หลายอย่างรวดเร็วในเวลาไม่นานนัก จอมพล ป.พิบูลสงคราม ท่านให้ความสนใจและสนับสนุนรำวงอย่างจริงจัง จึงได้มอบหมายให้กรมศิลปากรจัดการปรับปรุงการรำ และบทร้องให้มีแบบแผนที่แน่นอน เพื่อเชิดชูศิลปวัฒนธรรมไทยการละเล่นพื้นบ้านให้ทีระเบียบ แบบแผนเป็นแบบฉบับต่อคนรุ่นหลัง กรมศิลปากร ประพันธ์ บทเพลง คืองามแสงเดือน,ชาวไทย ,รำซิมารำและ คืนเดือนหงาย ท่านผู้หญิงละเมียด พิบูลสงคราม ประพันธ์ บทเพลง คือ ดอกไม้ของชาติ ดวงจันทร์-วันเพ็ญ ,หญิงไทยใจงาม ,ยอดชายใจหาญ ,ดวงจันทร์ขวัญฟ้า ,บูชานักรบ 


        กรม ศิลปากรได้นำท่ารำจาก ท่าแม่บทของนาฏศิลป์ไทย มากำหนดเป็นท่ารำของแต่ ละบท เพื่อให้เป็นต้นฉบับ จึงเรียกว่า รำวงมาตรฐาน” แม้สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ แล้ว รำวงมาตรฐานก็ยังคงไม่รับความนิยม ต่อมาจนถึงปัจจุบัน ทั้งนี้มีผู้นำเอาไปสลับกับการเต้นลีลาศ ซึ่งชาวต่างชาติก็นิยมนำรำวงมาตรฐานไปเล่นกันอย่างแพร่หลายจนเป็นศิลปะที่ นิยมกันไปนานาประเทศ มีนักประพันธ์ชาวอเมริกันบางท่านที่ชอบ 


        รำวง มาตรฐานจึงนำไปเขียนกล่าวขวัญไว้ในหนังสือ Theatre In The East โดยเขาเป็นผู้แต่งแต่เรียก รำวง” เพี้ยนไปเป็น รำบวง”  สำหรับผู้ประดิษฐ์ท่ารำวงมาตรฐานคือ หม่วมต่วน (ศุภลักษณ์  ภัทรนาวิก) นางมัลลี คงประภัศร์ และคุณครูละมุล ยมะคุปต์

องค์ประกอบการแสดง

ผู้แสดง

        รำวงมาตรฐานผู้ร่ายรำเป็นชาย – หญิง รำคู่กันไม่จำกัดจำนวน

 

วิธีแสดง

           เป็นการรำวงในงานรื่นเริงต่าง ๆ โดยการร่ายรำตามท่ารำที่กำหนดไว้ 10 เพลง 14 ท่า มีการเคลื่อนไหวให้มือและเท้าสัมพันธ์กับจังหวะและบทร้องของแต่ละเพลง โดยเดินเป็นวงกลม อย่างไรก็ดี ท่ารำเหล่านี้เพียงแต่กำหนดไว้เป็นมาตรฐานเท่านั้นอาจเปลี่ยนแปลงท่าไปได้ สุดแล้วแต่จะเห็นว่าสวยงาม เพียงแต่รักจังหวะมือและเท้าให้เข้ากับเพลง 


สถานที่แสดง 

           ไม่จำกัดขอบเขต เนื่องจากให้รำได้ในโอกาสรื่นเริงต่าง ๆ จึงรำได้โดยทั่วไป

        เครื่องดนตรี    

                    ใช้วงปี่พาทย์ไม้นวม  มีระนาด  ฆ้องวง  ปีใน ตะโพน  กลองทัด  ฉิ่ง  ฉาบ กรับและโทน         


เครื่องแต่งกาย

           รำวงมาตรฐานเป็นศิลปะที่ต้องศึกษาและควรรำให้เป็น สำหรับการแต่งกายนั้นผู้แสดงรำวงมาตรฐานสามารถแยกได้

แบบ(ตามกรมศิลปากร) ดังนี้



การแต่งกายแบบชาวบ้าน


  • แบบที่ ๑ แบบชาวบ้าน
ชาย นุ่งผ้าโจงกระเบน สวมเสื้อคอพวงมาลัย เอวคาดผ้าห้อยชายด้านหน้า
หญิง นุ่งโจงกระเบน ห่มผ้าสไบอัดจีบ ปล่อยผม ประดับดอกไม้ที่ผมด้านซ้าย คาดเข็มขัด ใส่เครื่องประดับ



  • แบบที่ ๒ แบบรัชกาลที่ ๕
ชาย นุ่งโจงกระเบน สวมเสื้อราชประแตน ใส่ถุงเท้า ร้องเท้า
หญิง นุ่งโจงกระเบน สวมเสื้อลูกไม้ สไบพาดบ่าผูกเป็นโบว์ ทิ้งชายไว้ข้างลำตัวด้านซ้าย ใส่เครื่องประดับมุก



  • แบบที่ ๓ แบบสากลนิยม
ชาย นุ่งกางเกง สวมสูท ผูกไท้
หญิง นุ่งกระโปรงป้ายข้าง ยาวกรอมเท้า ใส่เสื้อคอกลม แขนกระบอก

  • แบบที่ ๔ แบบราตรีสโมสร
ชาย  นุ่งกางเกง สวมเสื้อพระราชทาน ผ้าคาดเอวห้อยชายด้านหน้า
หญิง  นุ่งกระโปรงยาวจีบหน้านาง ใส่เสื้อจับเดรป ชายผ้าห้อยจากบ่าลงไปทางด้านหลัง เปิดไหล่ขวา ศีรษะทำผมเกล้าเป็นมวยสูงใส่เกี้ยวและเครื่องประดับ



การแต่งกายแบบรำวงมาตรฐาน (จากกรมศิลปากร)








เพลงและท่ารำที่ใช้ในการรำวงมาตรฐาน


  
  


การรำแบ่งเป็นขั้นตอนต่าง ๆ ได้ดังนี้

ขั้นตอนที่ 1        ผู้แสดงชาย และหญิงเดินออกมาเป็นแถวตรงสองแถวหันหน้าเข้าหากัน ต่างฝ่ายทำความเคารพด้วยการไหว้

ขั้นตอนที่ 2        รำแปรแถวเป็นวงกลมตามทำนองเพลง และรำตามบทร้องรวม ๑๐ เพลง โดยเปลี่ยนท่ารำไปตามเพลงต่าง ๆ                    
เริ่มตั้งแต่เพลงงามแสงเดือน เพลงชาวไทย เพลงรำซิมารำ เพลงคืนเดือนหงาย เพลงดวงจันทร์วันเพ็ญ
                เพลงดอกไม้ของชาติ เพลงหญิงไทยใจงาม เพลงดวงจันทร์ขวัญฟ้า เพลงยอดชายใจหาญ และเพลงบุชานักรบ

ขั้นตอนที่ 3
        เมื่อรำจบบทร้องในเพลงที่ ๑๐ ผู้แสดงรำเข้าเวที ทีละคู่ตามทำนองเพลงจนจบ

 


บทร้องรำวงมาตรฐาน


 1. เพลงงามแสงเดือน (Ngam Sang Duan) 

          คำร้อง : จมื่นมานิตย์นเรศ (นายเฉลิม เศวตนันท์) หัวหน้ากองการสังคีต กรมศิลปากร (ประพันธ์ในนามกรมศิลปากร) 

          ทำนอง : อาจารย์มนตรี ตราโมท     

          ความหมายเพลง : ยามที่แสงจันทร์ส่องมายังโลกทำให้โลกนี้ ดูสวยงาม ผู้คนที่มาเล่นรำวงยามที่แสงจันทร์ส่องก็มีความงดงามด้วย การรำวงนี้เพื่อให้มีความสนุกสนาน มีความสามัคคีกัน และละทิ้งความทุกข์ให้หมดสิ้นไป

เนื้อเพลง: 

        งามแสงเดือนมาเยือนส่องหล้า         งามใบหน้าเมื่ออยู่วงรำ (ซ้ำ)
เราเล่นกันเพื่อสนุก                               เปลื้องทุกข์วายระกำ
ขอให้เล่นฟ้อนรำ                                 เพื่อสามัคคีเอย

2. เพลงชาวไทย (Chaw Thai) 

          คำร้อง : จมื่นมานิตย์นเรศ (นายเฉลิม เศวตนันท์) หัวหน้ากองการสังคีต กรมศิลปากร (ประพันธ์ในนามกรมศิลปากร) 

          ทำนอง : อาจารย์มนตรี ตราโมท 

          ความหมายเพลง : หน้าที่ที่ชาวไทยพึงมีต่อประเทศชาตินั้น เป็นสิ่งที่ทุกคนควรกระทำ อย่าได้ละเลยไปเสีย ในการที่เราได้มาเล่นรำวงกันอย่างสนุกสนาน ปราศจากทุกข์โศกทั้งปวงนี้ก็เพราะว่าประเทศไทยเรามีเอกราช ประชาชนมีเสรีในการคิดจะทำสิ่งใด ๆ ดังนั้นเราจึงควรช่วยกันเชิดชูชาติไทยให้เจริญรุ่งเรืองต่อไป เพื่อความสุขยิ่ง ๆ ขึ้นของไทยเราตลอดไป

เนื้อเพลง :


        ชาวไทยเจ้าเอ๋ย                       ขออย่าละเลยในการทำหน้าที่
การที่เราได้เล่นสนุก                           เปลื้องทุกข์สบายอย่างนี้
เพราะชาติเราได้เสรี                             มีเอกราชสมบูรณ์
เราจึงควรช่วยชูชาติ                           ให้เก่งกาจเจิดจำรูญ
เพื่อความสุขเพิ่มพูน                             ของชาวไทยเราเอย

3. เพลงรำซิมารำ (Ram ma si ma ram) 

          คำร้อง : จมื่นมานิตย์นเรศ (นายเฉลิม เศวตนันท์) หัวหน้ากองการสังคีต กรมศิลปากร (ประพันธ์ในนามกรมศิลปากร)

          ทำนอง : อาจารย์มนตรี ตราโมท 

          ความหมายเพลง : ขอพวกเรามาเล่นรำวงกันให้สนุกสนานเถิดในยามว่างเช่นนี้จะได้คลายทุกข์ ถึงเวลางานเราก็จะทำงานกันจริง ๆ เพื่อจะได้ไม่ลำบาก และการรำก็จะรำอย่างมีระเบียบแบบแผน ตามวัฒนธรรมไทยของเราแล้วจะดูงดงามยิ่ง

เนื้อเพลง :

        รำมาซิมารำ                                 เริงระบำกันให้สนุก
ยามงานเราทำงานกันจริง ๆ                         ไม่ละไม่ทิ้งจะเกิดเข็ญขุก
ถึงยามว่างเราจึงรำเล่น                             ตามเชิงเช่นเพื่อให้สร่างทุกข์
ตามเยี่ยงอย่างตามยุค                               เล่นสนุกอย่างวัฒนธรรม
เล่นอะไรให้มีระเบียบ                               ให้งามให้เรียบจึงจะคมขำ
มาซิมาเจ้าเอ๋ยมาฟ้อนรำ                           มาเล่นระบำของไทยเราเอย

4. เพลงคืนเดือนหงาย (Ken Dern Ngai)           คำร้อง : จมื่นมานิตย์นเรศ (นายเฉลิม เศวตนันท์) หัวหน้ากองการสังคีต กรมศิลปากร (ประพันธ์ในนามกรมศิลปากร) 

          ทำนอง : อาจารย์มนตรี ตราโมท 

          ความหมายเพลง : เวลากลางคืน เป็นคืนเดือนหงาย มีลมพัดมาเย็นสบายใจ แต่ก็ยังไม่สบายใจเท่ากับการที่ได้ผูกมิตรกับผู้อื่น และที่ร่มเย็นไปทั่ว ทุกแห่งยิ่งกว่าน้ำฝนที่โปรยลงมา ก็คือการที่ประเทศไทยเป็นประเทศที่เป็นเอกราช มีธงชาติไทยเป็นเอกลักษณ์ ทำให้ร่มเย็นทั่วไป

เนื้อเพลง :


        ยามกลางคืนเดือนหงาย                     เย็นพระพายโบกพริ้วปลิวมา
เย็นอะไรก็ไม่เย็นจิต                                 เท่าเย็นผูกมิตรไม่เบื่อระอา
เย็นร่มธงไทยปกไปทั่วหล้า                         เย็นยิ่งน้ำฟ้ามาประพรมเอย


        โดย ท่านผู้หญิงละเอียด พิบูลย์สงครามแต่งเนื้อร้องเพิ่มอีก 6 เพลง ดังนี้
5. เพลงดวงจันทร์วันเพ็ญ (Dong jan wan pen) 


          คำร้อง : ท่านผู้หญิงละเอียด พิบูลสงครามทำนอง 

          ทำนอง : อาจารย์มนตรี ตราโมท 

          ความหมายเพลง : พระจันทร์เต็มดวงที่ลอยอยู่บนท้องฟ้านั้นช่างดูสวยงาม เพราะเป็นพระจันทร์ทรงกลด คือมีแสงเลื่อมกระจายออกรอบดวงจันทร์ทั้งดวง แต่ถึงจะงามอย่างไรก็ยังไม่เท่าความงามของดวงหน้าหญิงสาว ที่ดูผุดผ่องมีน้ำมีนวล อีกทั้งรูปร่างก็ดูสมส่วน กิริยาวาจาก็อ่อนหวานไพเราะ สมแล้วกับที่เปรียบว่าหญิงไทยนี้คือดอกไม้

เนื้อเพลง :
                             
        ดวงจันทร์วันเพ็ญ                         ลอยเด่นอยู่ในนภา
ทรงกลดสดสี                                       รัศมีทอแสงงามตา
แสงจันทร์อร่าม                                   ฉายงามส่องฟ้า
ไม่งามเท่าหน้า                                   นวลน้องยองใย
                                
        งามเอยแสงงาม                         งามจริงยอดหญิงชาติไทย
งามวงพักตร์ยิ่งดวงจันทรา                       จริตกิริยานิ่มนวลละไม
วาจากังวาน                                       อ่อนหวานจับใจ
รูปทรงสมส่วน                                     ยั่วยวนหทัย
สมเป็นดอกไม้                                     ขวัญใจชาติเอย

6. เพลง ดอกไม้ของชาติ (Dok mai kong chat)  

          คำร้อง :  ท่านผู้หญิงละเอียด พิบูลสงคราม

          ทำนอง : อาจารย์มนตรี ตราโมท

          ความหมายเพลง : ผู้หญิงไทยเปรียบเสมือนดอกไม้อันเป็นเอกลักษณ์ของประเทศไทย การร่ายรำด้วยการแสดงออกอย่างอ่อนช้อย งดงามตามรูปแบบความเป็นไทยแสดงให้เห็นถึงความเจริญทางด้านวัฒนธรรมของคนไทย นอกจากผูหญิงจะดีเด่นทางด้านความงามแล้วยังมีความอดทน สามารถทำงานบ้าน ช่วยเหลืองานผู้ชายหรือแม้งานสำคัญ ๆ ระดับประเทศก็สามารถช่วยเหลือได้เป็นอย่างดีไม่แพ้ผู้ชาย

เนื้อเพลง :


                                                            (สร้อย)

ขวัญใจดอกไม้ของชาติ                     งามวิลาศนวยนาดร่ายรำ (ซ้ำ)
เอวองค์อ่อนงาม                               ตามแบบนาฏศิลป์
ชี้ชาติไทยเนาว์ถิ่น                           เจริญวัฒนธรรม
                                                 
                                                            (สร้อย)

 งามทุกสิ่งสามารถ                               สร้างชาติช่วยชาย
 ดำเนินตามนโยบาย                           สู้ทนเหนื่อยยากตรากตรำ
                                                             
                                                            (สร้อย)

 7. เพลงหญิงไทยใจงาม (Ying Thai Jai Ngam) 

          คำร้อง : ท่านผู้หญิงละเอียด พิบูลสงคราม 

          ทำนอง : ครูเอื้อ สุนทรสนาน 

          ความหมายเพลง : ดวงจันทร์ที่ส่องแสงอยู่บนท้องฟ้ามีความงดงามมาก และยิ่งได้แสงอันระยิบระยับของดวงดาวด้วยแล้ว ยิ่งทำให้ดวงจันทร์นั้นงามเด่นยิ่งขึ้น เปรียบเหมือนกับดวงหน้าของหญิงสาวที่มีความงดงามอยู่แล้ว ถ้ามีคุณความดีด้วย ก็จะทำให้หญิงนั้นงามเป็นเลิศ ผู้หญิงไทยนี้เป็นขวัญใจของชาติ เป็นที่เชิดหน้าชูตาของชาติ รูปร่างก็งดงาม จิตใจก็กล้าหาญ ดังที่มีชื่อเสียงปรากฏอยู่ทั่วไป

เนื้อเพลง :
               
          เดือนพราว                               ดาวแวววาวระยับ
แสงดาวประดับ                                   ส่งให้เดือนงามเด่น
ดวงหน้า                                           โสภาเพียงเดือนเพ็ญ
คุณความดีที่เห็น                                 เสริมให้เด่นเลิศงาม
ขวัญใจ                                             หญิงไทยส่งศรีชาติ
รูปงามพิลาศ                                       ใจกล้ากาจเรืองนาม
เกียรติยศ                                           ก้องปรากฏทั่วคาม
หญิงไทยใจงาม                                   ยิ่งเดือนดาวพราวแพรว

8. เพลง ดวงจันทร์ขวัญฟ้า (Dong Jan Kwan Fa) 

          คำร้อง : ท่านผู้หญิงละเอียด พิบูลสงครามทำนอง 

          ทำนอง : ครูเอื้อ สุนทรสนาน 

          ความหมายเพลง : ในเวลาค่ำคืนท้องฟ้ามีดวงจันทร์ประจำอยู่ ในใจของชายก็มีหญิงอันเป็นสุดที่รักประจำอยู่เช่นกัน สิ่งที่เทิดทูนยกย่องไว้ก็คือ ชาติไทยที่เป็นเอกราช มีอิสระแก่ตนไม่ขึ้นกับใคร และสิ่งที่แนบสนิทอยู่ในใจของชายก็คือหญิงอันเป็นสุดที่รัก

เนื้อเพลง :
                          
          ดวงจันทร์ขวัญฟ้า                     ชื่นชีวาขวัญพี่
จันทร์ประจำราตรี                                 แต่ขวัญพี่ประจำใจ
ที่เทิดทูนคือชาติ                                 เอกราชอธิปไตย
ถนอมแนบสนิทใน                                 คือขวัญใจพี่เอย

9. เพลงยอดชายใจหาญ (Yod Shy Jai Han) 

          คำร้อง : ท่านผู้หญิงละเอียด พิบูลสงครามทำนอง

          ทำนอง : ครูเอื้อ สุนทรสนาน 

          ความหมายเพลง : ขอผูกมิตรไมตรีกับชายผู้กล้าหาญ และจะขอมีส่วนในการทำประโยชน์ทำหน้าที่ของชาวไทย แม้จะลำบากยากแค้น ก็จะขอช่วยเหลือจนเต็มความสามารถ   

เนื้อเพลง :
                             
          โอ้ยอดชายใจหาญ                     ขอสมานไมตรี
น้องขอร่วมชีวี                                     กอร์ปกรณีกิจชาติ
แม้สุดยากลำเค็ญ                                 ไม่ขอเว้นเดินตาม
น้องจักสู้พยายาม                                 ทำเต็มความสามารถ

10. เพลงบูชานักรบ (Boo Cha Nak Rop) 

          คำร้อง : ท่านผู้หญิงละเอียด พิบูลสงครามทำนอง   

          ทำนอง : ครูเอื้อ สุนทรสนาน 

          ความหมายเพลง : น้องรักและบูชาพี่ เพราะมีความกล้าหาญ เป็นนักสู้ที่เก่งกล้าสามารถสมกับเป็นชายชาตินักรบที่มีความมานะอดทน แม้ว่าจะยากเย็นแสนเข็ญ พี่ก็ต่อสู้จนชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่ว นอกจากนี้ ยังขยันขันแข็งในงานทุกอย่าง อุตส่าห์สร้างหลักฐานให้มั่นคง และพี่ยังมีความรักในชาติบ้านเมืองยิ่งกว่าชีวิต ยอมสละได้แม้ชีวิตและเลือดเนื้อเพื่อให้ชาติไทยคงอยู่คู่โลกต่อไป

เนื้อเพลง :

          น้องรักรักบูชาพี่                       ที่มั่นคงที่มั่นคงกล้าหาญ
เป็นนักสู้เชี่ยวชาญ                             สมศักดิ์ชาตินักรบ
น้องรักรักบูชาพี่                                 ที่มานะที่มานะอดทน
หนักแสนหนักพี่ผจญ                           เกียรติพี่ขจรจบ
น้องรักรักบูชาพี่                                 ที่ขยันที่ขยันกิจการ
บากบั่นสร้างหลักฐาน                           ทำทุกด้านทำทุกด้านครันครบ
น้องรักรักบูชาพี่                                 ที่รักชาติที่รักชาติยิ่งชีวิต
เลือดเนื้อพี่พลีอุทิศ                               ชาติยงอยู่ยงอยู่คู่พิภพ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น